วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

การพัฒนาตนเอง

การพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ เพิ่มพลังสมองเป็น 10 เท่า จากผลการทดลองพบว่า 90% ของกำลังสมอง หมดไปกับการคิดเรื่องที่ไม่ก่อประโยชน์ และมักจะใส่ความคิดผิด ๆ ให้สมองของตัวเอง ดั่งเช่นการทำงานของคอมพิวเตอร์ถ้าเราใส่ software ที่ผิด ผลการคำนวณก็ออกมาผิด ถ้าจะเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ ในทางทฤษฎี พบว่า " สมองมนุษย์เก็บข้อมูลได้เยอะกว่าและสามารถประมวลข้อมูลที่มีความสลับซับซ้อนได้รวดเร็วดีกว่าคอมพิวเตอร์ " ถ้าสมมติฐานดังกล่าวเป็นจริง เราก็น่าจะเรียนรู้อะไรได้เร็ว มีความจำเป็นเลิศ แต่ในชีวิตจริงทำไมกลับตรงกันข้าม หรือเป็นเพราะว่า เราไม่รู้ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราเรียนรู้ช้า และปัจจัยอะไรที่ทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว ? เมื่อคุณพบคำตอบ คุณอาจคันพบตัวเองก็ได้ทำไมเราจึงเรียนรู้ช้า? เพราะขาดความสามารถในการจดจ่อความคิดต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานได้ และไม่สามารถควบคุมความคิดให้คิดในทางที่สร้างสรรค์ได้ เนื่องจาก คนส่วนใหญ่จะปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกชักจูงความคิดให้โดดไปมา คิดเรื่องในอดีตหรือเรื่องที่ก่อความทุกข์ให้กับตนเอง และมักปล่อยให้ความคิดในทางทำลายตัวเองเข้ามาบั่นทอนประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ทำให้เรียนรู้ช้า, คิดไม่ชัดเจนคิดไม่ทัน ดังนั้น ตราบใดที่เรายังไม่สามารถตั้งใจคิดได้ คุณก็จะไม่พบคำตอบ ทำอย่างไรจึงจะเรียนรู้ได้เร็ว? 1. เปลี่ยนความคิดจาก Negative >>> Positive - ทำงานอย่างมีเป้าหมาย : ถ้าอยากฉลาดแบบนักคิดระดับโลก ก็ต้องคิดเหมือนพวกเขา คือ ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเป้าหมาย เช่น ก่อนจะอ่านหนังสือก็ต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังจะอ่านอะไร อ่านไปเพื่ออะไร เป็นต้น - ต้องรู้ระบบความคิดของเราก่อนว่าความคิดไหนทำให้เราคิดในทางลบ เช่น เมื่อเราเห็นคนอื่นทำไม่ได้เราจึงคิดว่าเราทำไม่ได้ , เชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะความจำไม่ดี เป็นต้น - ตัดความคิดในทางNegativeทิ้งแล้วใส่ความคิด Positive ลงไปแทนที่ เช่น คนอื่นทำไม่ได้ช่างเขา เราทำได้ก็แล้วกัน ,ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้ เป็นต้น2. หัดผ่อนคลายทั้งกายและใจ จากการทดลองพบว่า คนเราจะเรียนรู้ได้เร็วเมื่ออยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ดังนั้น เราควรรู้จักผ่อนคลายจิตใจบ้าง เช่น ฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ หรือ การสวดมนต์ อาจกล่าวได้ว่า การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ช่วยยับยั้งความคิด Negative ได้ชั่วคราว3. พยายามสังเกตว่าตัวเองเรียนรู้ได้ดีจากสื่อใด ถึงแม้สมองจะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่รูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนเรียนรู้ได้เร็วจากพูดคุยกับผู้อื่น, การอ่าน, ต้องคิดหา logic ด้วยตัวเอง, ต้องเห็นด้วยตา--ฟังไม่เข้าใจต้องเขียนหรือดูภาพ หรือบางคนต้องฟังอย่างเดียว ดังนั้น ถ้าเราต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ให้ดีขึ้นจำเป็นต้องสำรวจตัวเองว่า• รูปแบบการเรียนรู้แบบใดทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว?• ในช่วงเวลาใดของวันที่เรามีสมาธิสูงสุด--กระตือรือร้นสูงสุด?4. พยายามสร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับสมอง จะช่วยให้เราสามารถเก็บข้อมูลและดึงข้อมูลมาใช้ได้อย่างประสิทธิภาพ อาจใช้การตั้งคำถาม, การเปรียบเทียบข้อมูล เพราะ สูงสุดของการเรียนรู้ คือ การนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์5. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ นอกจากจะทำให้เรามีความสดชื่น กระตือรือร้น แล้วเมื่อเราออกกำลังกายนานติดต่อกัน 12 - 20 นาที จะส่งผลให้สมอง function ดียิ่งขึ้น ทำให้สมองทั้ง 3 ส่วน คือ ส่วนซ้าย ส่วนขวา และสมองส่วนกลาง ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างสะดวก ทำให้เราใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้สมองทั้ง 3 ส่วนได้พร้อม ๆ กันในเวลาเดียว6. ควรเข้าใจการทำงานของสมอง การทำงานของสมองในส่วนความจำจะทำงานได้ดีในเวลาที่ต่างกัน ดังนี้• ความจำระยะสั้น >>> ช่วงเช้า• ความจำระยะระยะยาว >>> ช่วงบ่าย• จำเกี่ยวกับตัวเลข >>> ก่อนนอนทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในแต่ละแบบได้?ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า แต่ละคนจะมีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน บางคนจะเรียนรู้ได้ดีจากการพูดคุย หรือจากการอ่าน เป็นต้น วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของสมองย่อมแตกต่างไปตามรูปแบบการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้1. การสร้างความจำ ทางกายภาพสมองมนุษย์เราสามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้ ภายในเวลา 1 / 1000 วินาที และโดยรู้ตัวหรือไม่ ข้อมูลที่เราได้รับจะอยู่ภายในสมองเราครบถ้วน เพียงแต่เราไม่สามารถดึงข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ได้ สาเหตุหนึ่งมาจากการ " การลืม " ้องคิดอยู่เหนืออารมณ์ารณ์ความคิดตัวเองว่าคิดเป็นระบบหรือไม่ บิดเบือนความจริงหรือไม่ คิดด้วยอารมณ์รึเปล่า ทุกครั้งที่เราได้รับข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การอ่าน ฟัง หรือคิด เป็นต้น จะเกิดอัตราการลืมโดยเฉลี่ยภายใน 5 นาที จะจำข้อมูลได้ 50% และถ้าผ่านไป 1 วัน จำได้ 10 %จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ แต่ข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในสมองของเราคำถาม : ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถจำข้อมูลที่เราอยากจำได้ ?1. จดบันทึก (take note) : เป็นการสั่งสมองให้จำข้อมูล2. สร้างภาพ : เพื่อช่วยให้มีความจำดีขึ้น ภาพที่สร้างควร• ขนาดใหญ่กว่าความจริง• ขยับมาก มีสีสัน ความรู้สึกรุนแรง• เกินความจริง เช่น ลิงพูดได้ เป็นต้น2. การอ่าน Information is power ในสังคมปัจจุบันใครที่มีข้อมูลมากก็ย่อมมีความคิดที่ลุ่มลึกกว่า และความคิดก็จะนำมาซึ่งเงินทอง ฐานะ ตำแหน่งและอำนาจ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการอ่าน เราควรทราบวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านด้วยวิธีง่าย ๆ อันดับแรกคือ ถามตัวเองก่อนกว่า " เราต้องการประโยชน์อะไรจากการอ่านในครั้งนี้ " เทคนิคในการอ่านเร็ว1. ควรอ่านไม่มีเสียงในใจ2. การอ่านจับใจความสำคัญ : เพื่อหาประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อ สามารถทำได้โดย• เริ่มต้นการอ่านด้วยการหา key concept >> ตัดสินใจว่าจำเป็นต้องอ่านรึเปล่า เราต้องการรู้อะไร และจะอ่านส่วนไหนบ้าง >> อ่านเจาะประเด็น ก็ทำให้เราไม่เสียเวลาอ่านทุกหน้า3. ต้องประเมินแหล่งข้อมูล เพราะประโยชน์สูงสุดของการอ่านคือ การนำข้อมูลมาใช้ จึงจำเป็นต้องประเมินความน่าเชื่อถือ และแหล่งที่มาของข้อมูล สามารถวัดได้จาก เช่น เป็นข้อมูลที่ up date หรือไม่, สำนักพิมพ์อะไร เป็นต้น 3. การฟัง ตามทฤษฎีที่ว่าข้อมูลที่เราได้รับทุกอย่างจะถูกบันทึกในสมองของเรา ถ้าเราได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในทางบวกเยอะๆ ย่อมทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก พร้อมที่จะแก้ปัญหามากกว่ายอมแพ้ปัญหา ดังนั้น เราควรกลั่นกรองแต่ละข้อมูลที่เราได้รับ ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะถูก Memory ในสมองของเรา ซึ่งมีกลวิธีดังนี้1. ประเมินผู้พูด : มีความน่าเชื่อถือ หรือไม่ความน่าเชื่อถือ: น่าเชื่อถือ แต่ไม่ชอบพูดเทคนิค: ตั้งคำถาม หรือพูดยั่วยุแต่สุภาพ เช่น วิพากษ์วิจารณ์ความคิด เพื่อกระตุ้นให้เขาพูด เป็นต้นน่าเชื่อถือ แต่พูดไม่ตรงประเด็น ให้ถามอย่างสุภาพว่า ประเด็นที่กำลังพูดคืออะไร? ช่วยสรุปให้ฟังสัก 2 ประโยคได้มั้ย? ถ้าไม่น่าเชื่อถือให้เราฟังตามมารยาทสังคม2. self-talk : ถามตัวเองตลอดเวลาว่า " ผู้พูดต้องการพูดเพื่ออะไร "3. ฟังด้วยความรู้สึก : ใช่ หรือไม่ใช่4. การคิด คนที่จะประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมี IQ สูง แต่ต้องมีความคิดอย่างเป็นระบบ และคิดอย่างสร้างสรรค์ในเรื่องที่มีประโยชน์ โดยมีระบบความคิดทั้งหมด 6 ประเภท ดังต่อไปนี้1. Think objectively คิดอย่างเป็นกลาง--เห็นความจริงตรงตามความจริง2. Think productively คิด ตัดสินใจโดยมองที่ "ผล" เมื่อเจอสถานการณ์หนึ่ง แล้วสามารถคิดพิเคราะห์ถึงผลทั้งด้านบวกและลบที่จะตามมา3. Think positively คิดหาทางแก้ปัญหาเมื่อพบอุปสรรคก็ยังสามารถคิดหาทางพลิกวิกฤตเป็นโอกาส4. Think creatively ความคิดที่สร้างเหตุและปัจจัยอันใหม่ เพื่อสร้างอนาคตของตัวเองความสามารถในการเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ที่เคยชินกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อาจสร้างได้โดยการถามตัวเองว่า "ทำอย่างไรจึงจะทำงานของเราได้ดีกว่าเดิม?" 5. Think intuitively เป็นความคิดที่ได้มาจากการถามความรู้สึกภายใน 6. Think about the mode คิดเกี่ยวกับความคิดตัวเอง วิพากษ์วิจารณ์ความคิดตัวเองว่าคิดเป็นระบบหรือไม่ บิดเบือนความจริงหรือไม่ คิดด้วยอารมณ์รึเปล่า: นักคิดระดับโลกต้องคิดอยู่เหนืออารมณ์**ความสงบของจิตไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องหยุดการทำงานทุกสิ่งเข้าป่า หาที่สงบเพื่อที่จะได้ปฏิบัติ ความสงบที่แท้จริงนี้เราควรหาพบในกิจกรรมการงานต่างๆในชีวิตประจำวันของเรา** อ้างอิง http://larndham.net/index.php?showtopic=30689&st=6&#top

แบบฝึกหัดบทที่ 4

แบบฝึกหัดบทที่ 4 (1) มนุษย์สัมพันธ์มีความหมายว่าอย่างไร มีความสัมพันธ์ต่อองค์การอย่างไร จงอธิบายความสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มบุคคลในองค์การใดองค์การหนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง เพื่อดำเนินการให้องค์การนั้นหรือสังคมนั้นบรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งจะมี 2 ลักษณะด้วยกันคือ มนุษย์สัมพันธ์อันดี บุคคลในองค์การหรือสังคมมีความรู้สึกพึงพอใจต่อกันและกันมีความเข้าใจอันดีต่อกัน ร่วมมือกันประสานงาน ช่วยเหลือแบ่งปันและให้อภัยต่อกัน แต่ถ้ามนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี บุคคลในองค์การนั้นหรือสังคมนั้นก็มักจะไม่ชอบพอกัน ขัดแย้งกัน ไม่ร่วมมือกัน ต่างคนต่างอยู่หรือกลั่นแกล้งกัน ส่งผลให้งานส่วนรวมขององค์การหรือกลุ่มสังคมนั้น ๆ เสียหาย บุคคลในกลุ่มขาดความสุข ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลทุกคนในกลุ่มนั้น ๆ ไม่มากก็น้อย(2) กลุ่มงานที่มีความสัมพันธ์อันดี มีลักษณะที่ดีอะไรบ้าง จงอธิบาย"ลักษณะของกลุ่มงาน" ที่กล่างถึงในที่นี้มุ่งเน้นที่พฤติกรรมการกระทำ การปฏิบัติต่อกันและกันของผู้ทำงานร่วมกลุ่ม ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญดังต่อไปนี้2.1 มีการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตยบุคคลส่วนใหญ่ต้องการมีส่วนร่วมในกลุ่มที่ตนเป็นสมาชิกซึ่งการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตยจะสนองความต้องการนี้ได้ โดยที่ทุกคนต่างมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นต่องาน รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน และเคารพในมติของเสียงส่วนใหญ่ นักจิตวิทยากลุ่มทฤษฎีสนาม พบว่าการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย ช่วยให้กลุ่มมีความร่วมมือและงานสำเร็จดีกว่ากลุ่มเผด็จการ จึงกล่าวได้ว่าการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตยช่วยเสริมสร้างมนุษย์สัมพันธ์ในหน่วยงานได้2.2 มีความไว้วางใจและเชื่อในความสามารถซึ่งกันและกันบุคคลทั่วไปต้องการความเชื่อถือไว้วางใจจากผู้อื่น ดังนั้นในการทำงานร่วมกันทุกคนควรให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ให้เกียรติและเชื่อถือในความสามารถของเพื่อนร่วมงาน2.3 มีการติดต่อสื่อสารที่ดีในหน่วยงานมนุษย์ทุกคนต้องการความชัดเจนในงานและต้องการความสบายใจในการอยู่ร่วมกันด้วย ซึ่งการติดต่อสื่อสารที่ดีนอกจากช่วยสร้างความเข้าใจในการร่วมงานกันแล้วยังช่วยเสริมความสัมพันธ์ส่วนตัวกันด้วย2.4 มีการช่วยเหลือกันในขอบเขตที่เหมาะสมในการทำงานและอยู่ร่วมกันในกลุ่ม ถ้าทุกคนพร้อมต่อการเป็นผู้ให้ย่อมทำให้เกิดความสุขในกลุ่มได้ การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน จัดว่าเป็นการให้อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นมิตร ซาบซึ้งใจ พึงพอใจและเกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการให้ในขอบเขตที่เหมาะสม2.5 มีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบการทำงานร่วมกันโดยหลายคนนั้น ถ้ามีทีมงานที่เหมาะสม คือ มีระบบงานที่ดี มีสายงานบังคับบัญชาที่ชัดเจน ทุกคนรู้จักบทบาทหน้าที่ และมีขอบข่ายงานที่กำหนดเด่นชัด การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีขั้นตอน และมีการร่วมมือประสานงานกันเป็นอย่างดี มักส่งผลให้งานสำเร็จและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย2.6 มีการร่วมมือที่ดีการทำงานร่วมกันนั้น ถ้าทำให้ทุกคนร่วมมือกันทำเพื่อให้กลุ่มทำงานสำเร็จได้ ก็จัดว่ากลุ่มดังกล่าวมีความสามัคคีและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน วิธีนี้จะเป็นที่ยอมรับของนักจิตวิทยามากกว่าการแข่งขัน เนื่องจากในกระบวนการของการแข่งขันนั้น เมื่อฝ่ายหนึ่งได้อีกฝ่ายหนึ่งจะเสีย แม้บางครั้งการแข่งขันอาจทำให้ผลงานของกลุ่มดีขึ้นแต่ในแง่ของความสัมพันธ์ภาพมักเสียไป2.7 ผู้มาร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะที่เอื้อต่อการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในการทำงานร่วมกัน ถ้าผู้มาร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะบางประการ ที่เอื้อต่อการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี คือมีลักษณะส่วนตัวที่พร้อมอยู่แล้วก็ย่อมส่งผลให้การทำงานกลุ่มเป็นไปด้วยไมตรีอันดี(3) แนวทางในการพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน ควรปฏิบัติอย่างไรบ้าง จงอธิบายการพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน อาจทำได้หลายลักษณะดังนี้3.1 การสร้างอัตตมโนทัศน์ ที่ตรงตามความเป็นจริงเป็นความคิดความรู้สึกที่เป็นข้อสรุปต่อตนเองของบุคคล ความคิดความรู้สึกดังกล่าวเป็นผลิตผลจากประสบการณ์ในชีวิตที่ได้มีการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง อัตตมโนทัศน์เป็นภาพทั้งหมดของบุคคลในความคิดคำนึง ซึ่งมิได้เจาะจงที่จุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะหากแต่เป็นความคิดความรู้สึกเกี่ยวกับตนเองในภาพรวมทั้งหมด3.2 การมองตนเองและผู้อื่นในทางที่ดีนักจิตวิทยาส่วนใหญ่มีความเห็นว่า เรื่องของมนุษย์สัมพันธ์นั้น ควรเริ่มที่ตัวเองเป็นจุดแรก ทั้งนี้เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าการที่บุคคลรู้สึกต่อผู้อื่นเช่นไรส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับความรู้สึกของตนเอง ถ้ามีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตนเองและมองตนเองในทางที่ดีก็มีแนวโน้มที่จะรู้สึกต่อผู้อื่นในทางที่ดีและมองผู้อื่นดีด้วยแนวปฏิบัติที่สำคัญเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้อื่น เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วยกันมีดังนี้1) ให้ความสนใจเพื่อนร่วมงาน2) ยิ้มแย้ม3) แสดงการจำได้4) เป็นคู่สนทนาที่ดี5) รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น6) แสดงการยอมรับนับถือผู้อื่นตามสถานภาพ7) แสดงความมีน้ำใจต่อผู้อื่น8) แสดงความชื่นชมยินดี(4) การวางแผนตนตามสถานะและบทบาทในองค์การ แบ่งออกเป็นกี่ระดับอะไรบ้าง จงอธิบายการวางแผนตามสถานะและบทบาทในองค์การ แบ่งออกเป็น 3 ระดับดังนี้4.1 การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาโดยผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดต้องถือว่าเป็นผู้นำในการปฏิบัติงานและเป็นผู้ต้องรับผิดชอบงาน ดังนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาจึงต้องให้ความสำคัญกับผู้บังคับบัญชา ให้ความเคารพนับถือ ให้ความร่วมมือ และเชื่อฟังในสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผลและบทบาทหน้าที่โดยปฏิบัติดังนี้1)ยกย่องผู้บังคับบัญชาตามควรแก่ฐานะ2)รับคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้บังคับบัญชา ด้วยความสงบหลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์หรือการโต้เถียง3)ปฏิบัติงานด้วยความตั้งใจและเต็มความสามารถเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาเชื่อถือ4)ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และคำสั่งขององค์กร5)เสนอข้อคิดเห็นโดยสุภาพอ่อนน้อม เมื่อผู้บังคับบัญชาถามความเห็น6)หลีกเลี่ยงการรบกวนผู้บังคับบัญชาด้วยเรื่องเล็กน้อย7)หลีกเลี่ยงการบ่นเรื่องงานที่ยากลำบากให้ผู้บังคับบัญชาฟัง8)หลีกเลี่ยงการนินทาผู้บังคับบัญชาลังหลัง ถ้ามีปัญหาเรื่องงานเกิดขึ้น ควรหาโอกาสพูดกับผู้บังคับบัญชาโดยตรง9)หลีกเลี่ยงการตอบรับหรือปฏิเสธตลอดเวลา การที่จะตอบรับหรือปฏิเสธความเห็นของผู้บังคับบัญชา ควรให้เป็นไปตามเหตุผล10)หลีกเลี่ยงการทำตัวแข่งกับผู้บังคับบัญชา4.2 การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกันผู้ที่ปฏิบัติงานในระดับเดียวกันมักมีอิทธิพลต่อกันและกันในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีบทบาทสูงต่อมนุษยสัมพันธ์ในองค์การ เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุดต้องอาศัยความร่วมมือและน้ำใจช่วยเหลือกัน ดังนั้น การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกันนั้น จึงต้องวางตนโดยเป็นผู้ให้มากที่สุดและปฏิบัติดีต่อกันให้มากที่สุด ซึ่งได้กล่าวโดยสังเขปดังนี้1)มองเพื่อนร่วมงานในแง่ดี ให้ความจริงใจให้ความช่วยเหลือ2)หลีกเลี่ยงการผลักภาระรับผิดชอบของตนไปให้เพื่อนร่วมงาน3)เมื่อมีปัญหาต้องพูดคุยกัน4)หาโอกาสพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานตามสมควร5)ให้การยกย่องชมเชยตามโอกาสอันควร6)หลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์เมื่อมีการขัดแย้งเกิดขึ้น7)หลีกเลี่ยงการทำตนเหนือเพื่อนร่วมงานหรือใช้วาจาข่มขู่8)หลีกเลี่ยงการขอร้องให้ช่วยเหลือในบางเรื่องที่เล็กน้อยและเราทำเองได้9)หลีกเลี่ยงการนินทาว่าร้ายหรือวิพากษ์วิจารณ์เพื่อนร่วมงานลับหลัง10)ให้อภัย ให้โอกาส เมื่อเพื่อนร่วมงานปฏิบัติผิดพลาด4.3 การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาการวางตนในการทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาต้องคำนึงอยู่เสมอว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาคือฝ่ายปฏิบัติงานในหน่วยงาน เปรียบเสมือนมือและเท้าของผู้บริหาร ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความสุขในการทำงานก็มักส่งผลเสียต่องาน นอกจานนั้น ผลงานของลูกน้องทุกคนทั้งหมดเมื่อรวมกันแล้วก็คือผลงานของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาจึงควรต้องให้ความสำคัญกับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ผลงานดีและมีบรรยากาศของความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย ดังนั้นในที่นี้จึงกล่าวโดยสังเขปดังนี้1)เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเจริญก้าวหน้าโดยอาชีพ โดยอาจส่งไปอบรม สัมมนา ค้นคว้าวิจัย2)สนับสนุนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนได้ทำงานที่เหมาะสมแก่ตนเองทั้งด้านความสามารถและบุคคิกภาพ3)สื่อสารกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างชัดเจน เมื่อต้องการให้ทำงานใดและหลีกเลี่ยวการสื่อสารทางเดียวให้มากที่สุด4)รักษาผลประโยชน์ของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ทุกคนอยู่ได้อย่างไม่ลำบากและเป็นสุข5)ยกย่องผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปรากฏแก่ผู้อื่นเมื่อเขาทำดี แต่เมื่อมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้นควรเชิญเข้าพบเพื่อพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวในบรรยากาศของความจริงใจ6)เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนร่วมในงานให้มาก โดยการประชุมปรึกษาเสนอความคิดเห็นและกระจายงานให้ผู้บังคับบัญชาแบ่งกันรับผิดชอบ7)ให้ความยุติธรรมแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาและปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความเป็นธรรม8)หลีกเลี่ยงการยกตนเองว่าสูงกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา9)หลีกเลี่ยงการจับผิดผู้ใต้บังคับบัญชา10)หลีกเลี่ยงการแสดงความอยากได้หรือการเบียดเบียนผู้ใต้บังคับบัญชา

มารยาทที่ดี

มารยาทที่ดี หลากมารยาทดีๆในที่ทำงาน การรู้จักกาลเทศะ มีมารยาทและวางตัวดีในที่ทำงานจะช่วยให้การงานราบรื่น ช่วยผ่อนความเครียด ที่อาจเกิดจากคนรอบข้างได้ มันไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะกับการทำงานกับคนมากมายทุกๆ วันโดยที่คน เหล่านั้นไม่ใช่เพื่อนหรือคนที่รู้จักคบหากันมาก่อน ดังนั้นการเรียนรู้มารยาท และการวางตัวใน ที่ทำงานก็จะช่วยให้การงานราบรื่นขึ้นลองนำเคล็ดลับจาก Lisa ไปใช้ดูซีคะ ควรทำตัวอย่างไรในการแนะนำตัว คุณควรรอให้อนุญาติให้นั่งเสียก่อนแล้วจึงนั่งลง หากได้รับคำถามว่าดื่มชา กาแฟมั้ย ก็ควรตอบรับเพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น ที่สำคัญคืออย่าไปสาย ควรตรงต่อเวลาและให้เวลา กับการแนะนำตัวเองอย่างไม่จำกัดเวลาแม้ว่าคุณอาจพลาดกับรถเที่ยวต่อไปก็ตาม เพราะหาก คุณบอกว่า "ดิฉันต้องไปแล้วค่ะ" นั่นอาจหมายถึงว่าคุณต้องลาจากชั่วนิรันดร์ พนักงานใหม่ควรวางตัวอย่างไร หากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีกับผู้ร่วมงานในที่ทำงานใหม่ก็อย่าเพิ่งกังวล คุณไม่จำเป็น ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองทันที แรกๆ คุณควรศึกษากฎระเบียบเสียก่อนและสังเกตุ ขนบธรรมเนียม และมารยาทในที่ทำงานใหม่เพราะคุณอาจทำงานได้ดีมากแต่อาจทำผิดสังคมในที่ทำงานได้ ดังนั้น คุณจึงไม่ควรเลี้ยงฉลองอะไรในวันแรก แต่ให้ผ่านช่วงทดลองงานไปก่อน ทำอย่างไรดีกับเพื่อนร่วมงาน คุณจัดการกับโต๊ะทำงานของตัวเองได้ แต่ไม่ควรยุ่งกับโต๊ะทำงานของคนอื่น และไม่ควร เอาของใช้ เช่น กระเป๋าหรือสิ่งของไปวางในพื้นที่ทำงานแม้ว่าคุณอยากจะโชว์ ให้เพื่อนร่วมงาน เห็นก็ตาม นอกจากนี้ความเครียดจะเกิดขึ้นถ้าคุณเอาตัวไปเบียดใกล้ชิดกับเพื่อน ร่วมงานเพราะ มนุษย์ส่วนมากมักมีความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขน กฎในออฟฟิศ อีกอย่างก็คือ เมื่อคุณจะไอหรือจามก็ควรออกนอกห้อง หลีกหนีเพื่อนร่วมงานจอมเมาท์อย่างไรดี ขณะที่คุณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่แล้วเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนในห้องคุณและคอยจับผิด ให้คุณถามว่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ หรือบอกว่า เดี๋ยวคุณจะตามไป หรือบอกไปว่าคุณกำลังสะสาง งานอย่างเร่งด่วนอยู่ หากคุณเห็นว่าไม่เหมาะที่จะทำตัวสนิทสนมด้วยก็ให้รักษาระยะห่างไว้ จำเป็นต้องไปสรวลเสเฮฮาหลังเลิกงานด้วยมั้ย หากเพื่อนร่วมงานชวนคุณไปดื่มหรือเข้าร้านอาหารหลังเลิกงาน แต่คุณไปไม่ได้ ก็ควรกล่าวคำขอโทษ เช่น "ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่บังเอิญติดธุระ" และหากคุณไปด้วยก็ควร อยู่ด้วยอย่างน้อยที่สุด 15 นาที ทำอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้ว่านินทาคนอื่น คุณกำลังนินทาเรื่องไม่ดีของผู้ร่วมงานคนหนึ่งอยู่โดยที่เธอยืนอยู่ข้างหลังคุณ ดังนั้น คุณจึงควรกล่าวคำขอโทษและบอกว่าคุณไม่ได้หมายถึงอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ และแสดงให้เห็น ถึงความจริงใจของคุณด้วยการช่วยเหลือเธอ เปิดเผยและซื่อสัตย์ เจอเพื่อนร่วมงานกลางทาง ให้คุณเดินไปหาและทักทาย หากคุณไม่แน่ใจว่าเพื่อนร่วมงานอยากจะทักคุณหรือไม่ ก็ให้คุณพยายามสบตาด้วย หากเธอมองไปทางอื่นก็แสดงว่าเธอไม่อยากทักทายคุณ แต่ถ้าคุณอยู่ใกล้ ประตูรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ก็ให้หยุดรอตอนขาลงและทักทายเธอ คุณก็จะได้เพื่อนร่วมทางหรือหาก คุณไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยก็ต้องขึ้นรถเช้ากว่านี้เพื่อไม่ต้องเจอกัน ในลิฟต์บางคนกลัวการอยู่ในที่แคบ เช่น ในลิฟต์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการอยู่ในที่แคบและเจอ ผู้ร่วมงานในลิฟต์ก็ควรทักทาย แล้วจะหัน หน้าไปทางประตูลิฟต์ก็ไม่มีใครว่าและควรถามคนอื่นด้วยว่าอยู่ชั้นไหน แล้วกดลิฟต์ ให้ด้วย ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือเข้าที่ประชุม เพราะมันมักรบกวนห้องประชุม หากคุณจำเป็นต้องรอโทรศัพท์สำคัญก็ให้บอกกับทาง โน้นว่าในช่วงเวลานี้ คุณติดประชุมไม่อาจรับโทรศัพท์ ได้หรือระหว่างพักการประชุม ก็โทรศัพท์ ไปหาได้ หากคุณตั้งสัญญาณสั่นสะเทือนไว้ก็ให้ออกไปพูดนอกห้องประชุม การโต้ตอบอีเมล ควรตรวจเช็กและตอบอีเมลวันละอย่างน้อยที่สุด 2 รอบ ตอนเช้า กลางวันและที่ดี ที่สุดคือตอนเย็น หากคุณไม่สามารถตอบได้ทันที ก็ให้ส่งข้อความสั้นๆ ว่าคุณไม่อยู่ 2-3 วัน และบอกด้วยว่าคุณจะอยู่ในออฟฟิศอีกครั้งเมื่อไหร่ นอกจากนี้ก็ควรเขียนอีเมลอย่างระมัดระว้ง ถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด และบันทึกไว้อย่างมีระเบียบเพื่อที่คุณจะได้หาได้ง่ายเมื่อต้องการค้นหา ไม่ควรใช้คำย่อ มีคำขึ้นต้นและลงท้ายอย่างมีมารยาท ข้อมูลจาก lisa 24 มีนาคม 2551 เขียนโดย vegetablenet ที่ 12:01 ก่อนเที่ยง การรู้จักกาลเทศะ มีมารยาทและวางตัวดีในที่ทำงานจะช่วยให้การงานราบรื่น ช่วยผ่อนความเครียดที่อาจเกิดจากคนรอบข้างได้ มันไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะกับการทำงานกับคนมากมายทุกๆ วันโดยที่คนเหล่านั้นไม่ใช่เพื่อนหรือคนที่รู้จักคบหากันมาก่อน ดังนั้นการเรียนรู้มารยาท และการวางตัวในที่ทำงาน ก็จะช่วยให้การงานราบรื่นขึ้น ลองนำเคล็ดลับจาก Lisa ไปใช้ดูซีคะ ควรทำตัวอย่างไรในการแนะนำตัว คุณควรรอให้อนุญาติให้นั่งเสียก่อนแล้วจึงนั่งลง หากได้รับคำถามว่าดื่มชา กาแฟมั้ยก็ควรตอบรับเพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น ที่สำคัญคืออย่าไปสาย ควรตรงต่อเวลาและให้เวลากับการแนะนำตัวเองอย่างไม่จำกัดเวลาแม้ว่าคุณอาจพลาดกับรถเที่ยวต่อไปก็ตาม เพราะหากคุณบอกว่า "ดิฉันต้องไปแล้วค่ะ" นั่นอาจหมายถึงว่าคุณต้องลาจากชั่วนิรันดร์ พนักงานใหม่ควรวางตัวอย่างไร หากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีกับผู้ร่วมงานในที่ทำงานใหม่ก็อย่าเพ่งกังวล คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองทันที แรกๆ คุณควรศึกษากฎระเบียบเสียก่อนและสังเกตขนบธรรมเนียมและมารยาทในที่ทำงานใหม่เพราะคุณอาจทำงานได้ดีมากแต่อาจทำผิดสังคมในที่ทำงานได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเลี้ยงฉลองอะไรในวันแรก แต่ให้ผ่านช่วงทดลองงานไปก่อน ทำอย่างไรดีกับเพื่อนร่วมงาน คุณจัดการกับโต๊ะทำงานของตัวเองได้ แต่ไม่ควรยุ่งกับโต๊ะทำงานของคนอื่น และไม่ควรเอาของใช้ เช่น กระเป๋าหรือสิ่งของไปวางในพื้นที่ทำงานแม้ว่าคุณอยากจะโชว์ให้เพื่อนร่วมงานเห็นก็ตาม นอกจากนี้ความเครียดจะเกิดขึ้นถ้าคุณเอาตัวไปเบียดใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานเพราะมนุษย์ส่วนมากมักมีความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขน กฎในออฟฟิศอีกอย่างก็คือ เมื่อคุณจะไอหรือจามก็ควรออกนอกห้อง หลีกหนีเพื่อนร่วมงานจอมเมาท์อย่างไรดี ขณะที่คุณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่แล้วเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเข้ามาป้วนเป้ยนในห้องคุณและคอยจับผิด ให้คุณถามว่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ หรือบอกว่า เดี๋ยวคุณจะตามไป หรือบอกไปว่าคุณกำลังสะสางงานอย่างเร่งด่วนอยู่ หากคุณเห็นว่าไม่เหมาะที่จะทำตัวสนิทสนมด้วยก็ให้รักษาระยะห่างไว้ จำเป็นต้องไปสรวลเสเฮฮาหลังเลิกงานด้วยมั้ย หากเพื่อนร่วมงานชวนคุณไปดื่มหรือเข้าร้านอาหารหลังเลิกงาน แต่คุณไปไม่ได้ก็ควรกล่าวคำขอโทษ เช่น "ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่บังเอิญติดธุระ" และหากคุณไปด้วยก็ควรอยู่ด้วยอย่างน้อยที่สุด 15 นาที ทำอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้ว่านินทาคนอื่น คุณกำลังนินทาเรื่องไม่ดีของผู้ร่วมงานคนหนึ่งอยู่โดยที่เธอยืนอยู่ข้างหลังคุณ ดังนั้นคุณจึงควรกล่าวคำขอโทษและบอกว่า คุณไม่ได้หมายถึงอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของคุณด้วยการช่วยเหลือเธอ เปิดเผยและซื่อสัตย์ เจอเพื่อนร่วมงานกลางทาง ให้คุณเดินไปหาและทักทาย หากคุณไม่แน่ใจว่าเพื่อนร่วมงานอยากจะทักคุณหรือไม่ ก็ให้คุณพยายามสบตาด้วย หากเธอมองไปทางอื่นก็แสดงว่าเธอไม่อยากทักทายคุณ แต่ถ้าคุณอยู่ใกล้ประตูรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ก็ให้หยุดรอตอนขาลงและทักทายเธอ คุณก็จะได้เพื่อนร่วมทาง หรือหากคุณไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยก็ต้องขึ้นรถเช้ากว่านี้เพื่อไม่ต้องเจอกัน ในลิฟต์ บางคนกลัวการอยู่ในที่แคบ เช่น ในลิฟต์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการอยู่ในที่แคบและเจอผู้ร่วมงานในลิฟต์ก็ควรทักทายแล้วจะหันหน้าไปทางประตูลิฟต์ก็ไม่มีใครว่าและควรถามคนอื่นด้วยว่าอยู่ชั้นไหนแล้วกดลิฟต์ให้ด้วย ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือเข้าที่ประชุม เพราะมันมักรบกวนห้องประชุม หากคุณจำเป็นต้องรอโทรศัพท์สำคัญก็ให้บอกกับทางโน้นว่าในช่วงเวลานี้ คุณติดประชุมไม่อาจรับโทรศัพท์ได้ หรือระหว่างพักการประชุมก็โทรศัพท์ไปหาได้ หากคุณตั้งสัญญาณสั่นสะเทือนไว้ ก็ให้ออกไปพูดนอกห้องประชุม การโต้ตอบอีเมล ควรตรวจเช็กและตอบอีเมลวันละอย่างน้อยที่สุด 2 รอบ ตอนเช้า กลางวันและที่ดีที่สุดคือตอนเย็น หากคุณไม่สามารถตอบได้ทันที ก็ให้ส่งข้อความสั้นๆ ว่าคุณไม่อยู่ 2-3 วัน และบอกด้วยว่าคุณจะอยู่ในออฟฟิศอีกครั้งเมื่อไหร่ นอกจากนี้ก็ควรเขียนอีเมลอย่างระมัดระว้ง ถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด และบันทึกไว้อย่างมีระเบียบเพื่อที่คุณจะได้หาได้ง่ายเมื่อต้องการค้นหา ไม่ควรใช้คำย่อ มีคำขึ้นต้นและลงท้ายอย่างมีมารยาท

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ประวัติไก่ชน








ไก่ชน มีประวัติเล่าขานกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ( 356 – 323 ปี ก่อนคริสตกาล ) ซึ่งเป็นจอมจักรพรรดิของกรีก ได้กรีธาทัพแผ่อิทธิพลขยายอาณาจักรเข้ามายังประเทศอินเดีย มีเรื่องเล่ากันว่าแม่ทัพนายกองได้เห็น การชนไก่ ที่อินเดีย จึงได้นำ ไก่ชน ไปขยายพันธุ์ ณ เมืองอเล็กซานเดรีย ซึ่งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หลังจากนั้นได้นำไก่ที่ขยายพันธุ์ได้ไปฝึกให้มีชั้นเชิงการต่อสู้แบบโรมัน เพื่อนำไปต่อสู้ในสนามโคลีเซียม เมื่ออังกฤษปกครองอินเดียได้นำ ไก่ชน จากอินเดียเข้าไปเผยแพร่ในอังกฤษ โดยยอมรับว่า กีฬาไก่ชน เป็นเกมกีฬาที่ควรได้รับความนิยมจากบุคคลชั้นสูงเช่นเดียวกับการแข่งม้าและฟันดาบ นอกจากนี้ กีฬาชนไก่ ยังได้เผยแพร่เข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ไก่ชนในเอเซีย กีฬา ไก่ชน หรือ ตีไก่ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศแถบเอเซีย เช่น ไทย พม่า ลาว เขมร มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย การชนไก่ ในแถบเอเซียมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และเชื่อว่า ไก่ชน มีพัฒนาการมาจาก ไก่ป่า ซึ่งมนุษย์นำมาเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารประจำบ้าน เมื่อ ไก่ป่า มาอยู่กับคนนานเข้า ก็ขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก นิสัยประจำตัวของไก่คือหวงถิ่นที่อยู่ ถ้ามีไก่ตัวอื่นๆ ข้ามถิ่นเข้ามาก็จะออกปกป้องที่อยู่อาศัย หรือเมื่อมีการแย่งผสมพันธุ์กับตัวเมีย ไก่ตัวผู้ก็จะตีกัน ซึ่งทำให้เกิดการถือหางกันระหว่างเจ้าของไก่ และด้วยนิสัยของนักพนันจึงทำให้มีการแข่งขันกัน การพัฒนาสายพันธุ์ของ ไก่ป่า จึงมีวิวัฒนาการเรื่อยมา

ไก่ชนในเมืองไทย ในอดีต พันธุ์ ไก่ชน ไทยเป็น “ มรดกของไทย “ มาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งถึงกรุงรัตนโกสินทร์ มีหลายสายพันธุ์ด้วยกัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือพันธุ์ “ ประดู่หางดำ ” และ “ เหลืองหางขาว ” ในสมัยกรุงสุโขทัย ไก่ชนประดู่หางดำพันธุ์แสมดำ ได้ชื่อว่า “ ไก่พ่อขุน ” เนื่องจากว่าเป็นไก่ที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงโปรด สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงนำ “ ไก่เหลืองหางขาว ” จากบ้านกร่าง เมืองพิษณุโลก ไปชนชนะไก่ของพระมหาอุปราชาที่กรุงหงสาวดี ไก่พันธุ์นี้เป็นที่นิยมเลี้ยงกัน ตามซุ้มที่เลี้ยง ไก่ชน มักจะมี ไก่ชนเหลืองหางขาว เลี้ยงไว้เพื่อเป็นไก่นำโชค และนิยมเรียกชื่อว่า “ ไก่เจ้าเลี้ยง ”

ต้นตระกูลของไก่ ไก่ เป็นสัตว์ปีกประเภทนก ต้นตระกูลมาจากสัตว์เลื้อยคลาน ดังปรากฏพบหลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์ของนกชนิดแรกในโลก ที่แคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมัน เมื่อปี ค.ศ. 1861 ซากดังกล่าวมีอายุประมาณ 130 ล้านปี มีลักษณะกึ่งนกกึ่งสัตว์เลื้อยคลาน คือที่ปากมีฟัน มีเล็บยื่นออกมาจากปลายปีกและมีกระดูกหางยาว ซึ่งเป็นลักษณะของสัตว์เลื้อยคลาน ในขณะเดียวกันก็มีขนปกคลุมลำตัวเช่นเดียวกับนก ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เรียกซากนี้ว่า “ อาร์คีออพเทอริกซ์ ”จาก “ อาร์คีออพเทอริกซ์ ” ได้พัฒนาการสืบทอดต่อกันมาจนกระทั่งกลายเป็นนกที่มีขนาดของรูปร่าง สี และอุปนิสัยที่แตกต่างกันออกไปกว่า 9,000 ชนิด สามารถจัดเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ 27 อันดับ และ 1 ใน 27 อันดับ คือ Galliformes ซึ่งเป็นอันดับของ ไก่ป่า ไก่งวง ไก่ต๊อก ไก่ฟ้า ฯลฯ และถ้าแยก ไก่ เหล่านี้ออกเป็นวงศ์ ไก่ป่าและไก่ฟ้าจัดอยู่ในวงศ์ Phasianidae ไก่ต็อกอยู่ในวงศ์ Numididdae และไก่งวงอยู่ในวงศ์ Meleagrididae


เนื่องจากประเทศไทยอยู่ใกล้กับอินเดีย จึงทำให้ไทยได้รับขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อทางศาสนา ตลอดจนศิลปวิทยาการต่างๆมาจากอินเดียหลายอย่าง อาจจะเป็นไปได้ที่ไทยได้นำ ไก่ชน จากอินเดียมาเพาะเลี้ยง และคงจะมีการนำ ไก่ชน เข้ามาก่อนที่อังกฤษจะนำ ไก่ชน ไปจากอินเดีย ทั้งนี้เนื่องจากว่า สมเด็จพระนเรศวรฯ ได้ทรงใช้ ไก่ชน ดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองมาก่อนที่อินเดียจะเสียเอกราชให้แก่อังกฤษเสียอีก แต่อย่างไรก็ตามอาจจะเป็นไปได้ที่ ไก่ชน ของไทยมีมานานก่อนแล้ว แต่ ไก่ชนพันธุ์อินเดีย คงจะเข้ามาในประเทศไทยพร้อมๆ กับศาสนาพราหมณ์และวัฒนธรรมอื่นๆ



ลักษณะไก่ชน



เรื่อง การกำหนดมาตรฐานพันธุ์ไก่ชนพระนเรศวรมหาราช
ความเป็นมา ไก่ชนพระนเรศวรมหาราช เป็นไก่ชนตามประวัติศาสตร์ที่ปรากฎอยู่ในพงศาวดารเมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพำนักอยู่ในประเทศพม่า พระองค์ทรงนำไก่เหลืองหางขาวไปจากเมืองพิษณุโลกเพื่อนำไปชนกับไก่ของพระมหาอุปราชา เป็นไก่ที่มีลักษณะพิเศษ มีความเฉลียวฉลาดในการต่อสู้จึงชนชนะจนได้สมญาว่า "เหลืองหางขาว ไก่เจ้าเลี้ยง" ซึ่งสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพิษณุโลก ได้ทำการค้นคว้าและทำการส่งเสริมเผยแพร่ โดยจัดทำการประกวดครั้งแรกเมื่อ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๓๓ และในปี ๒๕๓๔ ได้จัดตั้งชมรมอนุรักษ์ไก่ชนพระนเรศวรมหาราชขึ้นที่ตำบลหัวรอ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก จนถึงปี ๒๕๔๔ ได้จัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์และพัฒนาไก่ชนพระนเรศวรขึ้นทุกอำเภอรวม ๑๒ กลุ่ม
แหล่งกำเนิด ไก่ชนพระนเรศวรมหาราชเป็นไก่ชนสายพันธุ์เหลืองหางขาวและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลกจนถึงขนาดนี้ ไก่ชนพระนเรศวรมหาราชนับว่าเป็นของดีของจังหวัดพิษณุโลกและเป็นสมบัติของชาติไทยที่กำลังได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ ดังนั้นเพื่อการอนุรักษ์และการพัฒนาไก่ชนพระนเรศวรมหาราชงานดำเนินไปในทิศทางเดียวกันคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์และลักษณะประจำพันธุ์ที่แน่นอน สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพิษณุโลกจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานพันธุ์ไก่ชนพระนเรศวรมหาราชขึ้นเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ดังต่อไปนี้
สายพันธุ์ เหลืองหางขาว
ขนาด เพศผู้มีน้ำหนักตั้งแต่ ๓ กิโลกรัมขึ้นไป สูงตั้งแต่ ๖๐ เซนติเมตรขึ้นไป(วัดจากใต้ปากล่างตั้งฉากถึงพื้นที่ยืน) และเพศเมียมีน้ำหนักตั้งแต่ ๒ กิโลกรัมขึ้นไป สูงตั้งแต่ ๔๕ เซนติเมตร ขึ้นไป
ลักษณะประจำพันธุ์
เพศผู้หรือพ่อพันธุ์
๑.หัว มีขนาดเล็กคล้ายหัวนกยูง
๑.๑. กระโหลก กระโหลกอวบกลมยาว ๒ ตอน ส่วนหน้าเล็กกว่าส่วนท้าย
๑.๒. หน้า ลักษณะคล้ายหน้านกยูง หน้าต้องแดงจัด
๑.๓. ปาก รูปร่างคล้ายปากนกแก้วลักษณะแข็งแรงมั่นคงมีสีขาวอมเหลือง โคนปากใหญ่และปลายปากคม ปากบนปิดปากล่างสนิท ปากบนมีร่องน้ำลึกตั้งแต่โคนตรงรูจมูกถึงกลางปาก
๑.๔. หงอน ลักษณะหน้าหงอนบาง กลางหงอนสูง ปลายหงอนกดกระหม่อมมีสีแดงจัด
๑.๕. จมูก รูจมูกกว้างและยาวฝาปิดรูจมูกมีสีขาวอมเหลือง
๑.๖. ตา มีขนาดเล็ก ตามีสีขาวอมเหลือง(ตาปลาหมอตาย) มีเส้นเหลืองแดงโดยรอบ หัวตาแหลมเป็นรูปตัววี (v) มีลักษณะเรียวและสดใส
๑.๗. หู หูทั้งสองข้างมีขนสามสี คือ สีขาว สีเหลือง สีดำ ขนหูมีมากปิดรูหูสนิทไม่มีขี้หู
๑.๘. ตุ้มหู ตุ้มหูเป็นสีแดงจัดเหมือนสีของหน้า ขนาดไม่ใหญ่และไม่ยาน
๑.๙. เหนียง ต้องไม่มี(ลักษณะคางรัดเฟ็ด)
๑.๑๐. คิ้ว โหนกคิ้วนูนเป็นเส้นโค้งบังเบ้าตา
๒. คอ คอยาว(สองวง) และใหญ่กระดูกข้อถี่
๓. ลำตัว ลำตัวกลมยาว(ทรงหงส์)จับได้ ๒ ท่อน
๓.๑. ไหล่ กระดูกซอกคอใหญ่ ไหล่กว้าง
๓.๒. อก อกกว้างใหญ่กล้ามเนื้อเต็มกระดูกหน้าอกแข็งแรงโค้งเป็นท้องเรือและยาว(ไม่คดงอ)
๓.๓. กระปุกหาง มีขนาดใหญ่ชิดกับบั้นท้าย
๓.๔. ต่อมน้ำมัน มีขนาดใหญ่๑ต่อม อยู่บนกระปุกหาง
๓.๕. ตะเกียบตูด เป็นกระดูก ๒ชิ้น ออกจากกระดูกซี่โครงคู่สุดท้ายยาวมาถึงก้นแข็งแรงหนาโค้งเข้าหากันและชิดกัน
๔. ปีก ปีกเมื่อกางออก จะเป็นกล้ามเนื้อปีกใหญ่หนาตลอดทั้งปีกเอ็นยึดกระดูกแข็งแรงปีกขึ้นหนาแน่นชิดมีความยาวเรียงติดต่อกัน จากหัวปีกถึงท้ายปีกและยาวถึงกระปุกหาง
๕. ขา ขาได้สัดส่วนกับลำตัว
๕.๑. ปั้นขา กล้ามเนื้อโคนขาใหญ่ทั้งสองข้าง เวลายืนโคนขาอยู่ห่างกัน
๕.๒. แข้ง มีลักษณะเรียวเล็กกลมสีขาวอมเหลือง
๕.๓. เดือย โคนมีขนาดใหญ่ต่ำชิดนิ้วก้อยส่วนปลายเรียวแหลมคมและงอนเล็กน้อย มีสีขาวอมเหลือง
๖. เท้า มีความสมบูรณ์ คือ นิ้วครบไม่คดงอ
๖.๑. นิ้ว มีลักษณะยาวปลายเรียวมีท้องปลิงใต้ฝ่าเท้า นิ้วกลางมีเกล็ดตั้งแต่ ๒๐ เกล็ด ขึ้นไป ส่วนนิ้วก้อยจะสั้น
๖.๒. อุ้งตีน หนังอุ้งตีนไม่ติดพื้น
๖.๓. เล็บ โคนเล็บหนาแข็งแรงปลายแหลมมีสีเหมือนแข้ง คือ ขาวอมเหลือง
๗. ขน ขนเป็นมันเงางามระยับ
๗.๑. ขนพื้น มีสีดำตลอดลำตัว
๗.๒. สร้อย มีลักษณะสร้อยประบ่าระย้าประก้น คือ สร้อยคอขึ้นหนาแน่นยาวประบ่า สร้อยหลังยาวระย้าประถึงก้นมีลักษณะเส้นละเอียดปลายแหลม ส่วนสร้อยปีกและสนับปีกก็มีสีเดียวกัน
๗.๓. ขนปีก ปีกนอก (ตั้งแต่หัวปีกถึงกลางปีก) มีไม่น้อยกว่า ๑๑ เส้น ปีกใน(ตั้งแต่กลางปีกถึงปลายปีก) มีสีดำไม่น้อยกว่า ๑๒ เส้น ปีกไช (ปีกแซมปีกนอก) มีสีขาวไม่น้อยกว่า ๒ เส้นถ้าหุบปีกจะมองเห็นสีขาวแลบออกมาตามแนวยาวของปีก ๒-๓ เส้น เมื่อกางปีกออกจะมองเห็นปีกนอกมีสีขาวเป็นจำนวนมาก
๘. หาง หางเป็นพวงและเป็นพุ่มเหมือนฟ่อนข้าว
๘.๑. หางพัด มีข้างละไม่น้อยกว่า ๗ เส้น มีสีขาวเป็นจำนวนมาก
๘.๒. หางกระรวย คือ ขนหางคู่กลางซึ่งเป็นหางเอกจะมีสีขาวปลอดทั้งเส้นมีขนรองหางกระรวยหรือหางรับไม่น้อยกว่า ๖ เส้น และมีสีขาวเป็นจำนวนมาก
๘.๓. ระย้าหลัง เป็นส่วนที่ต่อจากสร้อยหลังมีลักษณะปลายแหลมปกคลุมกระปุกหาง ขอบขนมีสีเหลืองเหมือนสร้อยหลัง
๙. หลัง หลังแผ่แบนใหญ่
๑๐. กริยาท่าทาง
๑๐.๑. ท่ายืน ยืนยืดอกหัวปีกยกท่าผงาดดังราชสีห์
๑๐.๒. ท่าเดินและวิ่ง ที่เดิน สง่าเหมือนที่ยืน เวลาเดินเมื่อยกเท้าขึ้นจะกำนิ้วทั้งหมดเมื่อย่างลงเกือบถึงพื้นดินจะแบนิ้วออกทั้งหมด เวลาวิ่งย่อขาโผตัวไปข้างหน้าเสมอ
๑๐.๓. ที่ขัน ขันเสียงใหญ่ยาวชอบกระพือปีก และตีปีกแรงเสียงดัง
๑๑. ลักษณะพิเศษ
๑๑.๑. พระเจ้าห้าองค์ คือ มีหย่อมกระ(มีขนสีขาวแซม) ๕ แห่ง ได้แก่ (๑)หัว (๒)หัวปีกทั้งสองข้าง และ (๓)ข้อขาทั้งสองข้าง
๑๑.๒. เกล็ดสำคัญ ได้แก่เกล็ดพิฆาต เช่น เสือซ่อนเล็บ เหน็บชั้นใน ไชบาดาล ผลาญศัตรู นอกจากนี้ยังมีเกล็ดกากบาท จักรนารายณ์ ฯลฯ
๑๑.๓. สร้อยคอสร้อยหลังสร้อยปีก(สนับปีก) เป็นสีเหลืองทอง เรียกว่า เหลืองประภัสสร
๑๑.๔. สร้อยสังวาลย์ เป็นสร้อยบริเวณด้านข้างลำตัวมีสีเดียวกับสร้อยคอและสร้อยหลัง
๑๑.๕. ก้านขนสร้อยและหางกระรวย มีสีขาว
๑๑.๖. บัวคว่ำ-บัวหงาย บริเวณใต้โคนหางเหนือทวารมีขนประสานกันลักษณะแหลม ที่โคนหางดูคล้ายบัวคว่ำ-บัวหงาย
ลักษณะที่เป็นข้อบกพร่องของเพศผู้หรือพ่อพันธุ์
๑. ข้อบกพร่องร้ายแรง
๑.๑. กระดูกอกคด
๑.๒. นิ้วหรือเท้าบิดงอ
๑.๓. ไม่มีเดือย
๑.๔. แข้งไม่ขาวอมเหลืองตลอด(แข้งมีสีดำหรือแข้งลาย)
๒. ข้อบกพร่องไม่ร้ายแรง
๒.๑. เท้าเป็นหน่อ
๒.๒. ปากไม่ขาวอมเหลืองตลอดหรือมีจุดดำที่โคนปาก
๒.๓. ในขณะหุบปีกขนปีกมีสีขาวแลบออกมาทางด้านขวางคล้ายปีกนกพิราบ
๒.๔. เดือยหักหรือตัดเดือย
๒.๕. สุขภาพไม่สมบูรณ์(เจ็บป่วยหรือมีบาดแผล)
๒.๖. ลักษณะไม่เป็นไปตามลักษณะประจำพันธุ์ข้างต้น
เพศเมียหรือแม่พันธุ์
๑. หัว มีขนาดเล็กคล้ายหัวนกยูงได้แก่กระโหลก หน้า ปาก หงอน จมูก ตา หู และคิ้วมีลักษณะคล้ายเพศผู้หรือพ่อพันธุ์
๒. คอยาว ใหญ่และกระดูกถี่
๓. ลำตัว มีลำตัวยาวกลม (ทรงหงส์) ได้แก่ ไหล่ อก กระปุกหาง ต่อมน้ำมันมีลักษณะคล้ายเพศผู้หรือพ่อพันธุ์ส่วนปลายของตะเกียบตูดห่างกันทำให้ไข่ดกและฟองโต
๔. ปีก ลักษณะทั่วไปคล้ายเพศผู้หรือพ่อพันธุ์
๕. ขา ได้สัดส่วนกับลำตัวปั้นขาและแข้งมีลักษณะเช่นเดียวกับเพศผู้หรือพ่อพันธุ์
๖. เท้า มีความสมบูรณ์ทั้งนิ้ว อุ้งตีน และเล็บ
๗. ขน ขนเป็นมันเงางามขนพื้นมีสีดำตลอดลำตัวมีขนสีขาวกระ(สีขาวแซม) บริเวณหัว หัวปีก และข้อเท้า(ลักษณะพระเจ้าห้าพระองค์) ขนปีกเมื่อหุบมีสีขาวแลบออกมาตามแนวยาวของปีกไม่เกิน ๒-๓ เส้น เมื่อกางปีกจะมีสีขาวเป็นจำนวนมาก
๘. หาง มีหางพัดเป็นจำนวนมากชี้ตรงหรือตั้งขึ้นเล็กน้อยมีสีขาวแซม
๙. หลัง เช่นเดียวกับเพศผู้หรือพ่อพันธุ์
๑๐. กริยาท่าทาง การยืนเดินและวิ่งเช่นเดียวกับเพศผู้หรือพ่อพันธุ์
๑๑. ลักษณะพิเศษ มีลักษณะพระเจ้าห้าพระองค์และเกล็ดที่สำคัญเช่นเดียวกับเพศผู้หรือพ่อพันธุ์ หากมีเดือยจะจะดีมากและมีสีขาวอมเหลืองด้วย
ลักษณะที่เป็นข้อบกพร่องของเพศเมียหรือแม่พันธุ์
๑. มีลักษณะที่เป็นข้อบกพร่องร้ายแรงเช่นเดียวกับเพศผู้หรือพ่อพันธุ์
๒. ขนปีกและขนหางมีจุดขาวมากเกินกว่า ๑๐ เปอร์เซ็นต์
๓. สุขภาพไม่สมบูรณ์(เจ็บป่วยหรือมีบาดแผล)
๔. ลักษณะที่ไม่เป็นไปตามลักษณะประจำพันธุ์ข้างต้น